คลินิกกายภาพบำบัดว่าอย่างไรดี

คลินิกกายภาพบำบัดว่าอย่างไรดี

การเลือกคลินิกกายภาพบำบัดที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้แน่ใจว่าคุณได้รับการดูแลที่มีคุณภาพและบรรลุผลลัพธ์ที่ดีที่สุด พิจารณาปัจจัยต่อไปนี้เมื่อเลือกคลินิกกายภาพบำบัด:

คุณสมบัติและความเชี่ยวชาญ: ศึกษาคุณสมบัติและความเชี่ยวชาญของนักบำบัดที่ทำงานในคลินิก ตรวจสอบให้แน่ใจว่าพวกเขาได้รับใบอนุญาตและมีประสบการณ์ในการรักษาสภาพหรือการบาดเจ็บที่คุณต้องการความช่วยเหลือ มองหานักบำบัดที่มีใบรับรองขั้นสูงหรือความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่เกี่ยวข้องกับความต้องการของคุณ

ชื่อเสียงและบทวิจารณ์: ตรวจสอบบทวิจารณ์ออนไลน์ ข้อความรับรอง และการให้คะแนนสำหรับคลินิก มองหาความคิดเห็นจากผู้ป่วยรายก่อนหน้าเกี่ยวกับคุณภาพการดูแล ความเป็นมืออาชีพของพนักงาน และประสิทธิผลของการรักษา ขอคำแนะนำจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เช่น ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพหรือเพื่อนที่มีประสบการณ์เชิงบวกกับคลินิกแห่งใดแห่งหนึ่ง

ขอบเขตของบริการ: ประเมินขอบเขตของบริการที่นำเสนอโดยคลินิก พิจารณาว่าพวกเขาให้การรักษาเฉพาะทางสำหรับอาการของคุณ เสนอเทคนิคและรูปแบบการบำบัดที่หลากหลาย และมีอุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็นเพื่อรองรับความต้องการในการฟื้นฟูของคุณหรือไม่

แผนการรักษาเฉพาะบุคคล: มองหาคลินิกที่เน้นแผนการรักษาเฉพาะบุคคลที่เหมาะกับความต้องการเฉพาะของคุณ การบำบัดทางกายภาพที่มีประสิทธิภาพเกี่ยวข้องกับการประเมินรายบุคคล การตั้งเป้าหมาย และแนวทางการรักษาที่ปรับแต่งเพื่อจัดการกับสถานการณ์เฉพาะของคุณ

การสื่อสารและการดูแลผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง: พิจารณาระดับการสื่อสารและการดูแลผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางที่คลินิกจัดให้ พวกเขาใส่ใจกับข้อกังวลและเป้าหมายของคุณหรือไม่? พวกเขาอธิบายขั้นตอนการรักษา ให้คุณมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และให้ความรู้เกี่ยวกับอาการของคุณและเทคนิคการดูแลตนเองหรือไม่? แนวทางของผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางเป็นสิ่งสำคัญสำหรับประสบการณ์การรักษาในเชิงบวก

ความครอบคลุมและความสามารถในการจ่ายของประกัน: ตรวจสอบว่าคลินิกยอมรับแผนประกันสุขภาพของคุณหรือเสนอตัวเลือกการชำระเงินที่เหมาะสมหรือไม่ สอบถามเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายของเซสชัน จำนวนครั้งที่ต้องการ และค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมสำหรับบริการหรืออุปกรณ์

สถานที่ตั้งและความสะดวก: พิจารณาที่ตั้งของคลินิกและบริเวณใกล้เคียงกับบ้านหรือที่ทำงานของคุณ การเข้าถึงและความสะดวกสบายอาจส่งผลต่อความสามารถในการเข้าร่วมการบำบัดเป็นประจำและเข้าร่วมโปรแกรมการฟื้นฟูสมรรถภาพของคุณ

ความสะอาดและความปลอดภัย: เยี่ยมชมคลินิกด้วยตนเองหากเป็นไปได้เพื่อประเมินความสะอาด การจัดองค์กร และการปฏิบัติตามระเบียบปฏิบัติด้านความปลอดภัย สภาพแวดล้อมที่ได้รับการดูแลรักษาอย่างดีและถูกสุขลักษณะจะส่งเสริมประสบการณ์การรักษาในเชิงบวก และลดความเสี่ยงของการติดเชื้อหรืออุบัติเหตุ

ความพร้อมใช้งานและการจัดกำหนดการ: สอบถามเกี่ยวกับความพร้อมใช้งานของการนัดหมายและความยืดหยุ่นในการจัดตารางเวลา ประเมินว่าคลินิกสามารถรองรับวันและเวลาที่คุณต้องการสำหรับการบำบัดได้หรือไม่

การอ้างอิงและการทำงานร่วมกัน: พิจารณาว่าคลินิกมีเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพหรือผู้เชี่ยวชาญที่พวกเขาสามารถแนะนำคุณได้หากจำเป็น การร่วมมือกับผู้ให้บริการทางการแพทย์รายอื่นสามารถเพิ่มประสิทธิภาพและความต่อเนื่องในการดูแลของคุณได้

สุดท้ายนี้ ให้วางใจในสัญชาตญาณของคุณและเลือกคลินิกกายภาพบำบัดที่คุณรู้สึกสบายใจ มีกำลังใจ และมั่นใจในความเชี่ยวชาญของนักบำบัด ใช้เวลาซักถาม เยี่ยมชมสถานที่ และพูดคุยกับนักบำบัดก่อนตัดสินใจ

การฟื้นฟูสุขภาพร่างกายกับคลินิกกายภาพบำบัด

การฟื้นฟูสุขภาพร่างกายและจิตใจเป็นเป้าหมายสำคัญที่สุดสำหรับผู้ป่วยระยะพักฟื้นในทุกช่วงวัย ไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วยที่กำลังรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บ หรืออาการเจ็บป่วยต่างๆ รวมไปถึงผู้ที่กำลังพักฟื้นจากการผ่าตัดร่างกาย แต่สำหรับผู้สูงอายุ การฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง จะต้องอาศัยทั้งความพยายามและความร่วมมือจากผู้สูงอายุเป็นอย่างมาก เนื่องจากระบบต่างๆ ภายในร่างกายจะมีการเสื่อมถอยลง อันเนื่องมาจากอายุที่มากขึ้น เป็นเหตุให้ต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูร่างกายมากกว่าผู้ป่วยวัยอื่นๆ

การทำกายภาพบำบัด จึงเป็นศาสตร์ในการฟื้นฟูสุขภาพที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง สำหรับผู้สูงอายุในระยะพักฟื้น เนื่องการทำกายภาพบำบัดจะช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับร่างกาย เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาใช้ชีวิตที่ใกล้เคียงกับปกติได้เร็วยิ่งขึ้น รวมถึงช่วยป้องกันโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้น นอกจากนี้ การได้รับการดูแลจากคลินิกกายภาพบำบัดอย่างใกล้ชิด จะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยในระยะยาว รวมถึงช่วยสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับตัวผู้ป่วยและครอบครัวได้อีกด้วย

ทำไมการทำกายภาพบำบัดจึงมีความสำคัญกับผู้สูงอายุระยะพักฟื้น

  • ลดความเสี่ยงในการหกล้ม – ผู้สูงอายุในระยะพักฟื้นจะมีร่างกายอ่อนแอ ซึ่งอาจส่งผลให้ไม่สามารถควบคุมร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการทำกายภาพบำบัดเป็นประจำ จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับร่างกาย ทำให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมร่างกายและเคลื่อนไหวได้ดียิ่งขึ้น เป็นการลดความเสี่ยงในการหกล้ม และการเกิดอุบัติเหตุอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
  • ป้องกันโรคติดเชื้อทางผิวหนัง – คลินิกกายภาพบำบัดจะช่วยให้ผู้สูงอายุขยับร่างกายได้มากขึ้น จึงลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคผิวหนัง เช่น โรคผิวหนังอักเสบ และแผลกดทับ ที่เกิดจากการขาดการเคลื่อนไหวร่างกายเป็นเวลานาน
  • สร้างความแข็งแรงให้กับร่างกายในระยะยาว – ผู้ป่วยพักฟื้นที่ไม่ทำกายภาพบำบัด จะมีความเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งอาจนำไปสู่โรคหลอดเลือดสมอง และโรคหัวใจวาย การทำกายภาพบำบัดเป็นประจำจะช่วยให้กล้ามเนื้อหัวใจได้รับการหล่อเลี้ยงเลือดที่เพียงพอ เป็นการป้องกันไม่ให้เกิดอาการขาดเลือดซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
  • เสริมสร้างกำลังใจและคุณภาพชีวิต – คลินิกกายภาพบำบัดจะทำให้ผู้สูงอายุสามารถช่วยเหลือตัวเอง และทำกิจวัตรประจำวันต่างๆ อย่างราบรื่นยิ่งขึ้น เช่น การเข้าห้องน้ำ การแต่งตัว และการรับประทานอาหาร เมื่อผู้สูงอายุเห็นพัฒนาการของตัวเอง จะช่วยเสริมสร้างกำลังใจในการต่อสู้กับโรค และอาการเจ็บป่วย
  • บรรเทาอาการเจ็บปวด – การทำกายภาพบำบัดจะช่วยบรรเทาอาการบาดเจ็บ เนื่องจากการเคลื่อนไหวและการขยับร่างกาย จะเป็นการเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกาย และช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับกล้ามเนื้อ ข้อต่อ และเส้นเอ็น

ดังนั้น เพื่อให้ผู้สูงอายุระยะพักฟื้นสามารถกลับมาดำเนินชีวิตใกล้เคียงกับปกติได้เร็วที่สุด ผู้ป่วยควรได้รับการทำกายภาพบำบัดจากคลินิกกายภาพบำบัดผู้มากประสบการณ์ มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับร่างกายของผู้ป่วย เพื่อให้ผู้ป่วยเคลื่อนไหวร่างกายโดยได้รับบาดเจ็บน้อยที่สุด รวมถึงสามารถกลับมาเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระรวมถึงการทำกิจวัตรประจำวันได้ดียิ่งขึ้น

เข้าใจการโฆษณา

เข้าใจการโฆษณา

การโฆษณาเป็นวิธีการสื่อสารทางการตลาดที่ธุรกิจใช้ในการประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ บริการ หรือตราสินค้าไปยังกลุ่มเป้าหมาย มันเกี่ยวข้องกับการสร้างและกระจายข้อความผ่านช่องทางสื่อต่างๆ เพื่อแจ้ง โน้มน้าวใจ หรือเตือนผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าเกี่ยวกับข้อเสนอของบริษัท การทำความเข้าใจการโฆษณาจำเป็นต้องมีความรู้ในส่วนประกอบและหลักการที่สำคัญ:

วัตถุประสงค์: วัตถุประสงค์หลักของการโฆษณาคือการเพิ่มการรับรู้ถึงแบรนด์ สร้างความสนใจและความปรารถนา และท้ายที่สุดผลักดันยอดขาย วัตถุประสงค์อื่นๆ อาจรวมถึงการให้ความรู้แก่ผู้ชม การสร้างความภักดีต่อแบรนด์ หรือการกระตุ้นให้เกิดการกระทำบางอย่าง (เช่น การสมัครรับจดหมายข่าว)

ผู้ชมเป้าหมาย: การระบุผู้ชมเป้าหมายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการสร้างแคมเปญโฆษณาที่มีประสิทธิภาพ สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการค้นคว้าและทำความเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูลประชากร จิตวิทยา และพฤติกรรมการซื้อของผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าเพื่อสร้างข้อความที่ปรับแต่งให้ตรงใจพวกเขา

ข้อความ: ข้อความในการโฆษณาเป็นแนวคิดหลักหรือธีมที่ผู้โฆษณาต้องการสื่อถึงกลุ่มเป้าหมาย ข้อความนี้ควรชัดเจน กระชับ และเกี่ยวข้องกับความต้องการ ความชอบ และจุดบกพร่องของผู้ชม

องค์ประกอบที่สร้างสรรค์: องค์ประกอบที่สร้างสรรค์ของโฆษณาประกอบด้วยภาพ ภาพ ข้อความ เสียง และส่วนประกอบอื่นๆ ที่ทำงานร่วมกันเพื่อสร้างข้อความที่เหนียวแน่นและดึงดูดใจ องค์ประกอบเหล่านี้ควรได้รับการออกแบบเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ฟัง กระตุ้นอารมณ์ และโน้มน้าวให้พวกเขาดำเนินการ

ช่องทางสื่อ: โฆษณาสามารถเผยแพร่ผ่านช่องทางสื่อต่างๆ เช่น สื่อสิ่งพิมพ์ (หนังสือพิมพ์ นิตยสาร) การแพร่ภาพ (โทรทัศน์ วิทยุ) กลางแจ้ง (บิลบอร์ด การขนส่ง) ดิจิทัล (เว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย เครื่องมือค้นหา) และจดหมายโดยตรง การเลือกช่องทางสื่อที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ผู้ชมเป้าหมาย งบประมาณ และวัตถุประสงค์ของแคมเปญ

งบประมาณ: งบประมาณการโฆษณาคือจำนวนเงินที่จัดสรรเพื่อวางแผน สร้าง และแจกจ่ายโฆษณา งบประมาณนี้ต้องได้รับการจัดการอย่างระมัดระวังเพื่อให้แน่ใจว่าได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ที่ดีที่สุด และเพื่อป้องกันการใช้จ่ายเกินตัว

เวลา: เวลาของแคมเปญโฆษณามีความสำคัญต่อการเพิ่มผลกระทบสูงสุด สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น ฤดูกาล กิจกรรมของคู่แข่ง และพฤติกรรมผู้บริโภค เพื่อกำหนดเวลาที่ดีที่สุดในการเปิดตัวและเรียกใช้แคมเปญ

การวัดผลและการวิเคราะห์: การประเมินประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณาเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการทำความเข้าใจประสิทธิภาพและการตัดสินใจที่อิงตามข้อมูล ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับเมตริกการติดตาม เช่น การเข้าถึง การแสดงผล การคลิก การแปลง และ ROI

ข้อบังคับและจริยธรรม: ผู้โฆษณาต้องปฏิบัติตามข้อบังคับและมาตรฐานทางจริยธรรมเพื่อหลีกเลี่ยงการทำให้เข้าใจผิดหรือหลอกลวงผู้ชม ซึ่งรวมถึงความโปร่งใสเกี่ยวกับเนื้อหาที่ได้รับการสนับสนุน หลีกเลี่ยงการกล่าวอ้างที่เป็นเท็จ และเคารพกฎหมายความเป็นส่วนตัวและการคุ้มครองข้อมูล

เมื่อเข้าใจประเด็นสำคัญของการโฆษณา คุณจะพัฒนาแคมเปญที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัดสินใจอย่างรอบรู้ และบรรลุวัตถุประสงค์ทางการตลาดในที่สุด

ปรับ Quality Score ให้กับโฆษณา แสดงผลดีขึ้น แต่จ่ายน้อยกว่า

เมื่อลงโฆษณา Google Ads หลายคนอาจจะเจอปัญหาในการที่คีย์เวิร์ดแสดงผลน้อย หรือลงโฆษณาไปแล้วเสียค่าคลิกแพง ซึ่งสาเหตุนั้นก็มีอยู่ด้วยกันหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้คีย์เวิร์ด การสร้างคำโฆษณาที่ดึงดูดใจ หรือแม้แต่หน้าเว็บไซต์เองก็มีส่วนในการแสดงผลของโฆษณา และค่าคลิกที่สูงด้วย สำหรับการรับแต่งโฆษณาให้มีประสิทธิภาพ หลักๆเลยเรียกกันว่า Quality Score ถ้าสามารถปรับให้คะแนนสูงขึ้นได้ช่วยให้ค่าคลิกถูกลง ประหยัดต้นทุนได้มาก ทำให้โฆษณาแสดงผลบ่อยขึ้น อยู่ในอันดับที่ดีที่สุด เช่นอันดับแรก แต่คุณจ่ายน้อยกว่า แล้วมีวิธีในการเพิ่มคำแนน Quality Score อย่างไรได้บ้าง ในบทความนี้เราจะมาแนะนำวิธีเบื้องต้น ที่คุณสามารถทำตามได้

Quality Score สิ่งสำคัญเลยคือ landing page หน้าเว็บไซต์เกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดหรือไม่ ส่งลูกค้าไปยังหน้าที่ถูกต้องกับสินค้าหรือบริการ เว็บไซต์โหลดไว Page Speed อยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างไปทางดีถึงดีมาก มีระบบ ssl เสริมความปลอดภัย ใช้งานได้ง่าย ไม่ว่าจะใช้งานผ่านอุปกรณ์ใดก็ตาม

Keyword เมื่อคลิกเข้าสู่หน้าเว็บไซต์แล้วควรจะมี keyword นั้นอยู่ด้วย หรือระบุเกี่ยวกับสินค้าที่ตรงกับ keyword และควรเน้นที่ Text มากกว่ารูปภาพ เพราะกูเกิ้ลให้คะแนน text มากกว่า

Ad คำโฆษณา ต้องระบุ text ad ให้เกี่ยวข้องกับ keyword สินค้าของเรา แทรกอยู่ในข้อความโฆษณาด้วย และแยกสินค้าเป็น ad group ของแต่ละประเภท เพื่อที่ยิงโฆษณาแล้วไม่เกิดความสับสน คำโฆษณาต้องมีข้อความที่ดึงดูดใจ และทำให้ลูกค้าไม่ออกจากหน้าเว็บไซต์ เมื่อเจอสินค้าที่ไม่ตรงกับที่ต้องการ เสียค่าคลิกไปฟรีๆได้

การปรับแต่ง Quality Score ได้รวมอยู่ในบริการรับทำ google ads ราคาถูก บริการของเราที่รวมการลงโฆษณาแบบครบวงจรให้แก่ธุรกิจของคุณ เรียกได้ว่าใช้บริการกับเรา เราจะดำเนินการให้ตั้งแต่เริ่มต้น จนคุณสร้างยอดขายได้ คุณที่ไม่มีเวลาในการจัดการโฆษณา หรือวิเคราะห์โฆษณาด้วยตัวเอง เราแนะนำให้เอเจนเซี่ดูแลและแนะนำแนวทางการปรับแต่งโฆษณา และเพิ่มคะแนนในหน้าเว็บไซต์ของคุณอย่างถูกวิธี โดยเฉพาะช่วยให้คุณมีค่าคลิกที่ถูกลง แต่ได้แสดงผลดีขึ้น

ทำความเข้าใจการทำโฆษณา

ทำความเข้าใจการทำโฆษณา

การโฆษณาเป็นวิธีหนึ่งสำหรับธุรกิจในการประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ บริการ หรือตราสินค้าของตนต่อผู้มีโอกาสเป็นลูกค้า มันเกี่ยวข้องกับการสร้างข้อความที่มีวัตถุประสงค์เพื่อโน้มน้าวให้ผู้คนดำเนินการบางอย่าง เช่น ทำการซื้อ เยี่ยมชมเว็บไซต์ หรือสมัครใช้บริการ

การโฆษณามีหลายประเภท ได้แก่ สื่อสิ่งพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุ และโฆษณาออนไลน์ การโฆษณาแต่ละประเภทมีจุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเอง และธุรกิจต่างๆ จะต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับความต้องการและเป้าหมายเฉพาะของตน

ในการสร้างโฆษณาที่มีประสิทธิภาพ ธุรกิจต้องระบุผู้ชมเป้าหมายและเข้าใจความต้องการ ความต้องการ และความพึงใจของตนเสียก่อน จากนั้นพวกเขาต้องสร้างข้อความที่พูดกับผู้ชมและดึงดูดใจมากพอที่จะดึงดูดความสนใจและโน้มน้าวให้พวกเขาดำเนินการ

การโฆษณาเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับธุรกิจในการเข้าถึงลูกค้าใหม่และทำให้แบรนด์ของพวกเขาเติบโต อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจคือการสร้างโฆษณาที่มีจริยธรรมและเป็นความจริงที่ไม่ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดหรือหลอกลวง นอกจากนี้ ผู้ลงโฆษณายังต้องตามทันเทรนด์และเทคโนโลยีใหม่ๆ ในการโฆษณาเพื่อให้สามารถแข่งขันได้และมีประสิทธิภาพ

รับประมาณราคางานก่อสร้าง ต้องคำนวณ BOQ อย่างไร

รับประมาณราคางานก่อสร้าง ต้องคำนวณ BOQ อย่างไร

โดยปกติแล้วผู้ออกแบบบ้านหรือผู้รับเหมาก่อสร้างต้องคิดคำนวณ BOQ ให้คุณ แต่ถ้าเป็นงานเล็ก ๆ จากผู้รับเหมารายย่อยที่ยังไม่รู้ว่า BOQ คืออะไร หรือถ้าคุณต้องการคำนวณค่าใช้จ่ายเองเพื่อมอบหมายให้ผู้รับเหมาเสนอค่าแรงหรือตรวจเช็กความสอดคล้องกับ BOQ ของผู้รับเหมา เราก็มีขั้นตอนการคำนวณ BOQ คร่าว ๆ มาให้คุณทำเองได้ดังนี้
1. จัดหมวดหมู่งาน
การจัดหมวดหมู่งานเป็นสิ่งแรกที่ต้องทำเพื่อแยกประเภทงานก่อสร้างทั้งหมดออกเป็นกลุ่ม เช่น ถ้าคุณจะสร้างบ้านสักหลังก็ต้องมีงานเตรียมพื้นที่ งานพื้นผิว งานโครงสร้าง งานหลังคา งานฝ้าเพดาน งานผนัง งานประตูหน้าต่าง งานทาสี งานไฟฟ้า งานประปา งานสุขภัณฑ์ งานตกแต่งภายใน และงานตกแต่งภายนอก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะทำอะไรบ้าง หรือถ้าเป็นการปรับปรุงห้องน้ำก็อาจมีแค่งานปูพื้นและงานสุขภัณฑ์แค่ 2 กลุ่ม เป็นต้น
2. วัดขนาดพื้นที่
ควรใช้หน่วยเมตรและตารางเมตรเป็นหลักในการวัดพื้นที่ เพราะเป็นหน่วยมาตรฐานที่ใช้ซื้อขายวัสดุก่อสร้าง เช่น พื้นที่บ้านวัดได้ 135 ตารางเมตร คุณก็ระบุใน BOQ บ้านได้ว่า ต้องใช้กระเบื้องปูพื้นประมาณ 135 ตารางเมตร หรือในบ้าน 2 ชั้นที่ต้องการเดินสายไฟให้ครบทุกห้อง และวัดความยาวได้ประมาณ 300 เมตร คุณก็ต้องใช้สายไฟม้วน 50 เมตร จำนวน 6 ม้วน เป็นต้น
3. สำรวจราคา
เราขอแนะนำให้คุณสำรวจราคาในร้านจำหน่ายวัสดุก่อสร้างขนาดใหญ่ เพราะร้านค้าเหล่านั้นมักจะมีบริการทำใบเสนอราคาตามรายการที่คุณต้องการโดยไม่ต้องเสียเวลาเช็กราคาเอง แต่ถ้าคุณไม่สะดวกหรือไม่มีเวลาเดินทาง คุณสามารถพึ่งพาร้านขายวัสดุก่อสร้างบนอินเทอร์เน็ตในการค้นหาราคาวัสดุที่ต้องการได้อย่างง่ายดายเพียงไม่กี่คลิก
4. เคาะราคาที่ต้องจ่าย
คุณสามารถคิดค่าวัสดุที่ต้องใช้ได้ง่าย ๆ ด้วยการนำ ปริมาณวัสดุ x ราคาต่อหน่วย = ราคาวัสดุที่ต้องใช้ ส่วนค่าแรงนั้นจะคิดยากกว่าพอสมควรเนื่องจากผู้รับเหมาแต่ละรายคิดค่าแรงไม่เท่ากันและไม่มีมาตรฐานตายตัว แต่คุณก็สามารถคาดคะเนได้คร่าว ๆ ดังนี้

งานขนาดเล็กหรืองานง่ายให้ใช้แบบราคาไม่เกิน 50 บาทต่อหน่วย
งานขนาดปานกลางหรืองานทั่วไปให้ใช้แบบราคาไม่เกิน 120 บาทต่อหน่วย
งานขนาดใหญ่หรืองานยากให้ใช้แบบราคาไม่เกิน 500–1,000 บาทต่อหน่วย

แม้ว่าคุณจะไม่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในงานก่อสร้าง แต่ด้วยการคำนวณแบบนี้ คุณก็จะทราบค่าแรงโดยประมาณ และสามารถนำมารวมกับราคาวัสดุเพื่อหาจำนวนเงินทั้งหมดที่ต้องจ่ายในเบื้องต้นสำหรับงานก่อสร้างได้

อย่างไรก็ดี ราคา BOQ งานก่อสร้างที่เห็นนั้นไม่ได้หมายความว่าจะเป็นราคาสุทธิที่คุณต้องจ่ายเสมอไป เพราะในระหว่างการก่อสร้างอาจมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ทำให้ค่าใช้จ่ายจริงแตกต่างจากเอกสารได้ เช่น การเปลี่ยนแปลงวัสดุ (โดยตกลงกันแล้ว) และการแก้ไขงานเมื่อพบอุปสรรคในระหว่างก่อสร้าง นอกจากนี้ การตรวจสอบความคืบหน้าและการตรวจรับงานในแต่ละช่วงโดยยึดตามรายการวัสดุใน BOQ ยังช่วยควบคุมค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างไปในตัว ทำให้ได้บ้านที่ใกล้เคียงกับสเปกที่ต้องการมากที่สุดตามรายการใน BOQ ที่ตกลงกันไว้ และป้องกันการถูกโกงค่าวัสดุก่อสร้างอีกด้วย

เทคโนโลยีที่ช่วยยกกระชับหน้าในปัจจุบัน

ความหย่อนคล้อยของใบหน้าเกิดได้จากการเปลี่ยนแปลงของผิวในชั้นหนังแท้ ชั้นไขมัน กระดูก และชั้นพังผืดใต้ชั้นไขมัน ที่เราเรียกกันว่าชั้น SMAS (ปกติชั้นนี้ แพทย์ศัลยกรรมจะใช้ดึงหน้าให้หน้าดึงเวลาผ่าตัด) การผ่าตัดดึงหน้า ในบางรายยังอาจดูไม่เป็นธรรมชาติ สาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากการที่ชั้นอื่นๆ ยังไม่ได้รับการแก้ไขทั้งหมดนั่นเอง

ปัจจุบันมีเทคโนโลยีมากมายที่ช่วยยกกระชับหน้า การจะเลือกเครื่องมือหรือวิธีการไหน ขึ้นกับสภาพผิวหน้าของแต่ละบุคคล เทคโนโลยีที่ใช้ช่วยกระชับใบหน้าจะช่วยฟื้นฟูผิวที่ชั้นต่างๆ ดังนี้

ผิวชั้นหนังแท้

กระบวนการยกกระชับหน้าทำได้โดย

  • เลเซอร์ : ความหย่อนคล้อยเกิดจากคอลลาเจนในชั้นผิวลดลงหรือเสื่อมสภาพไปตามวัย เลเซอร์ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้กับชั้นผิวและยกกระชับหน้าได้ เช่น collagen laser, long pulse Nd yag ,คลื่นวิทยุชนิดสองขั้ว (bipolar)
  • Botulinum toxin : การฉีดสาร botulinum toxin หรือบางท่านอาจเรียก การฉีด lifting หรือ การฉีด botox/dysport lift ซึ่งเป็นการใช้ toxin ความเข้มข้นที่เจือจาง ฉีดสร้างกรอบหน้าและทำให้ผิวดูยกกระชับ
  • Vital injector : เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดในการยกกระชับผิวชั้นตื้น โดยจะใช้สารบำรุงผิวหลายๆ ชนิดและฟิลเลอร์ ฉีดเข้าไปที่ชั้นผิว นอกจากจะส่งผลให้ใบหน้าดูกระชับขึ้น ยังช่วยให้ผิวฟูและดูอิ่มน้ำ เปล่งปลั่งอีกด้วย

ผิวชั้นไขมัน

เมื่อเราอายุมากขึ้นไขมันที่หน้าบางส่วนจะหายไปทำให้เห็นร่องแก้ม ร่องใต้ตา ในขณะที่ไขมันบางส่วนเคลื่อนไปกองที่คางทำให้รูปหน้าดูผิดปกติ การรักษาในชั้นนี้จึงเป็นการเติมบางส่วนที่ขาดและจัดระเบียบไขมันที่อยู่ผิดที่นั่นเอง ซึ่งทำได้โดย

  • การฉีดสารเติมเต็ม hyaluronic acid : หรือการฉีดฟิลเลอร์ เข้าไปช่วยเติมเต็มร่องต่างๆ บนใบหน้า นอกจากนั้นการฉีดฟิลเลอร์บางเทคนิคก็จะช่วยยกกระชับหน้าและจัดระเบียบไขมันได้อีกด้วย
  • Pneulift : คือ การใช้พลังงานลมช่วยส่งผ่านฟิลเลอร์เป็นละอองเล็กๆ ลงไปที่ผิวให้หน้าอิ่มและดู V-Shape ได้ วิธีการนี้เหมาะสำหรับผู้ที่กลัวเข็ม แต่ยังอยากใช้ฟิลเลอร์ช่วยเติมเต็มและยกกระชับหน้า นอกจากนั้นยังช่วยเติมเต็มหลุมสิวได้อีกด้วย

การนำเข้าสินค้าจากจีนทำไมถึงได้รับความนิยม

ปัจจุบันนี้ในธุรกิจการค้าขายหลาย ๆ ท่านคงจะทราบอยู่แล้วว่าจีนเป็นผู้ผลิตสินค้าที่หลากหลาย และเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของโลกเราก็ว่าได้ แล้วสินค้าที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้ส่วนใหญ่มักจะผลิตจากจีน และจะมีพ่อค้าแม่ค้าในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ที่นำเข้าสินค้าจากจีนมาขาย ซึ่งการนำเข้าสินค้าจากจีนมาขายก็ได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี ซึ่งเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่สามารถทำเป็นธุรกิจของตัวเอง ทำให้หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมการนำเข้าสินค้าจากจีนถึงได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน และทำไมเราต้องนำเข้าสินค้าจากจีน

เหตุผลทำไมเราต้องนำเข้าสินค้าจากจีน

สินค้าตอบสนองความต้องการมากกว่า เนื่องจากประชากรจีนนั้นมีจำนวนมาก จึงทำให้ผู้ผลิตนั้นต้องผลิตสินค้าที่ตอบสนองความต้องการของคนจำนวนมากให้ได้ และนั่นกลายเป็นข้อดีที่ทำให้คุณสามารถเลือกซื้อสินค้านำเข้าจากจีน ได้ง่ายๆโดยมั่นใจได้ว่าถ้ามันขายได้ที่จีน มันก็คนขายได้ที่ไทยของเราด้วยเช่นกัน

มีสินค้าให้เลือกหลากหลาย การนำเข้าสินค้าจากจีน มีให้เราเลือกอย่างหลากหลายและมีความครอบคลุมการใช้งานทุกประเภท อาทิเช่น สินค้าในกลุ่มเครื่องมือสื่อสาร สินค้ากลุ่มเสื้อผ้า เครื่องสำอาง หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ซึ่งมีจำหน่ายผ่านร้านค้าส่งในประเทศจีนโดยตรง หรือการสั่งซื้อแบบออนไลน์

สินค้าราคาต้นทุนถูก ข้อดีของสินค้านำเข้าจากจีน อีกประการหนึ่งและถือเป็นเหตุผลประการสำคัญของการนำเข้าคือ ต้นทุนทางราคาที่ถูกมาก ซึ่งทำให้เอื้อต่อการนำมาขายปลีกได้ อาทิเช่น ไม้เซลฟี่ที่จำหน่ายตามแหล่งท่องเที่ยวในไทยที่ไม้ละ 250 บาท แต่ต้นทุนสินค้านำเข้าจากจีน เพียงแค่ 40-60 บาทเท่านั้น

มีระบบการนำเข้าที่เอื้อต่อการเติบโตของผู้ประกอบการ SMEs นอกจากนี้หากคุณเป็นผู้ประกอบการ SMEs การเลือกนำเข้าสินค้าจากจีนนั้น ไม่ได้มีขั้นตอนที่ยุงยากเหมือนแต่ก่อนแล้วครับ เพราะมีตัวแทน นายหน้า และคู่ค้าเจรจาทางธุรกิจในโลกออนไลน์ ที่มีความเชี่ยวชาญพร้อมที่จะให้บริการกับคุณตลอดเวลา ทำให้คุณมั่นใจในการเริ่มต้นทำธุรกิจ

ได้รับการยอมรับจากทางภาครัฐ เหตุผลประการสุดท้ายคือ สินค้าที่มีการนำเข้าจากประเทศจีนนั้นได้รับการยอมรับ จากทางภาครัฐ ซึ่งเราถือว่าจีนนั้นเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่ดีซึ่งกันและกัน ดังนั้นคุณจึงมั่นใจได้ว่าคุณจะไม่ถูกกีดกันการนำเข้าสินค้านำเข้าจากจีนอย่างแน่นอนครับ ซึ่งเท่ากับเป็นการจำกัดความเสี่ยงทางธุรกิจของคุณไปได้มากทีเดียว

ทันตแพทย์เด็กที่ดีควรมีอะไรบ้าง

ทันตแพทย์เด็กหรือหมอฟันเด็ก เป็นผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลรักษาฟันให้แก่เด็กตั้งแต่ฟันซี่แรกขึ้นช่วงอายุ 6 เดือน – 12 ปี เนื่องจากระบบฟันของเด็กที่ยังไม่แข็งแรงมากเท่าฟันผู้ใหญ่ที่เป็นฟันแท้ จึงมีโอกาสฟันผุมากกว่าและจำเป็นต้องได้รับการดูแลจนกว่าฟันแท้จะขึ้นแล้วจึงสามารถรักษากับทันตแพทย์ผู้ใหญ่ได้ตามช่วงวัย

ทันตแพทย์เด็กที่ดีควรมีอะไรบ้าง

  1. สำเร็จการศึกษามาจากทันตแพทยศาสตรบัณฑิตโดยตรง อย่างแรกเลยทันตแพทย์เด็กทุกคนจะต้องสำเร็จการศึกษาจากหลักสูตรทันตแพทยศาสตรบัณฑิต และศึกษาต่อสาขาทันตกรรมสำหรับเด็ก คณะทันตแพทยศาสตร์ ซึ่งเป็นหลักสูตรที่เกี่ยวข้องทางด้านทันตกรรมเด็กโดยตรง นอกจากทันตแพทย์เด็กทุกคนจะมีความรู้เกี่ยวกับฟันและอวัยวะในช่องปากอื่นๆ ของเด็ก และสามารถตรวจฟัน วินิจฉัย ดูแลรักษาโรคในช่องปากและอวัยวะที่เกี่ยวข้องได้แล้วยังต้องเรียนรู้ด้านจิตวิทยาสำหรับเด็กด้วย
  2. มีประสบการณ์การทำงานเป็นเวลานาน ด้วยตัวหลักสูตรของทันตแพทยศาสตรบัณฑิต ทำให้ทันตแพทย์เด็กทุกคนมีประสบการณ์ในการทำฟันตั้งแต่ช่วงชั้นปีที่ 4 ไปจนถึงปี 6 โดยเริ่มจากการรักษาผู้ป่วยที่มีปัญหาด้านทันตกรรมเบื้องต้นตามคลินิก และฝึกปฏิบัติงานภาคสนามทางทันตกรรมชุมชน เมื่อสำเร็จการศึกษาหมอฟันเด็กสามารถปฏิบัติงานตามคลินิกทันตกรรมเด็กได้ทันที
  3. มีหลักจิตวิทยาในการพูดคุยเพื่อไม่ให้เด็กกลัวการทำฟัน เนื่องจากทันตแพทย์เด็กจะต้องเรียนรู้และได้รับการอบรมเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับพฤติกรรมของเด็กทั้งด้านร่างกายและจิตใจ เพราะเด็กแต่ละคนจะตอบสนองต่อการเข้ารับการตรวจไม่เหมือนกัน สำหรับเด็กบางคนที่ไม่เคยพบหมอฟันมาก่อนอาจเกิดความวิตกกังวล ทันตแพทย์เด็กจึงต้องมีวิธีการรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวอย่างดี
  4. สามารถสื่อสารกับคุณพ่อคุณแม่ได้อย่างตรงจุด รวมถึงแนะนำวิธีการดูแลฟันที่ดีและเข้าใจง่าย นอกจากต้องใช้คำพูดที่เหมาะกับช่วงวัยของเด็กเพื่อไม่ให้เด็กรู้สึกกลัวและรู้สึกดีกับการรักษาสุขภาพฟันของตัวเองแล้ว ทันตแพทย์เด็กจะต้องมีทักษะการสื่อสารที่เข้าใจง่ายเพื่อแนะนำวิธีการรักษาฟันของลูกให้แก่คุณพ่อคุณแม่อย่างถูกวิธี เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่นำวิธีจากหมอฟันไปสอนลูกน้อยได้โดยที่เด็กไม่รู้สึกถูกบังคับนั่นเอง
  5. มีทีมผู้ช่วยที่เข้าใจธรรมชาติของเด็ก นอกจากมีทันตแพทย์เด็กที่เข้าใจและรับมือกับพฤติกรรมในการทำฟันของเด็กได้แล้ว ยังต้องมีทีมผู้ช่วยที่ใจเย็นมากๆ และมีความรู้ความเข้าใจในแต่ละขั้นตอนของการทำฟันเพื่อช่วยให้หมอฟันทำงานได้รวดเร็วและไม่ทำให้เด็กรู้สึกกลัวการทำฟันอีกด้วย
  6. มีสถานที่เตรียมไว้ให้เด็กเล่นก่อนทำฟัน เพื่อให้เด็กรู้สึกผ่อนคลาย ถึงจะมีทันตแพทย์เด็กที่เก่งและใจเย็นแค่ไหน แต่การสร้างบรรยากาศการทำฟันที่เหมาะกับเด็กก็เป็นสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งในควรมี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีห้องนั่งเล่นหรือโซน Playland ที่มีของเล่นให้เด็กเลือกเล่นมากมาย หรือแม้แต่ห้องทำฟันที่มีเบาะและเครื่องมือที่เป็นตัวการ์ตูนน่ารักๆ เพื่อให้เด็กรู้สึกผ่อนคลายก่อนและระหว่างทำฟันนั่นเอง

ยืดวอลลุ่มอย่างไรให้ได้ผมที่สวยเป็นธรรมชาติ

เทรนด์ยืดโคนดัดปลายหรือยืดวอลลุ่มเป็นเทรนด์ทรงผมที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากการยืดวอลลุ่ม เป็นวิธีที่ดีในการแก้ปัญหาผมหยิกฟู ไม่เป็นทรง โดยเฉพาะผมหยักชี้ฟู ที่ต้องเสียเวลาหนีบผมหน้ากระจกก่อนออกจากบ้าน รวมถึงผมที่ผ่านการยืดแล้วมีลักษณะตรงทื่อ จนทำให้ศีรษะลีบแบน ดูไม่เป็นธรรมชาติ การยืดโคนดัดปลายจึงเป็นวิธีที่ช่วยแก้ปัญหาดังกล่าว โดยยืดโคนผมให้ดูพอง มีความหนามากขึ้น ส่วนปลายผมเป็นลอน ดูเป็นทรงที่สวยงามเป็นธรรมชาติ และสามารถจัดทรงได้ง่ายๆ เพียงแค่ไดร์หรือเป่าผมเท่านั้น จึงประหยัดเวลาในการใช้ชีวิตในแต่ละวันได้มาก ดังนั้นเราจึงมาแนะนำวิธีการ “ยืดโคนดัดปลาย” ซึ่งเป็นเทคนิคพิเศษที่ได้รับความนิยมอย่างมากของหลายๆร้านทำผมในประเทศไทย ให้ทุกคนรู้จัก

การยืดยกโคลนหรือการยืดวอลลุ่มจะแตกต่างจากการยืดผมทั่วไป คือจะใช้เทคนิคพิเศษเฉพาะที่เรียกว่า การยืดยกโคนผม เพื่อทำให้ผมดูมีวอลลุ่มมากขึ้น และได้ลักษณะโคนผมที่ไม่ลีบหรือแบน เหมือนการยืดปกติทั่วไป จึงเป็นเทคนิคความชำนาญของแต่ละร้านทำผมที่ทำให้เกิดวอลลุ่มมากน้อยแตกต่างกัน

การดัดปลายผม หรือ ดัดปลายงุ้ม (C-Curl) นิยมใช้เทคนิคการดัดดิจิตอล (Digital perm) ให้ปลายผมงุ้มเข้าด้านใน เป็นลอนผมรูปตัวซี หรือ C-Curve เนื่องจากปลายผมที่งุ้มเข้าด้านในจะช่วยทำให้ได้ลอนผมแบบเด้งๆ แน่นๆ ดูเป็นธรรมชาติ นอกจากนี้ร้านทำผมบางร้านยังมีรูปแบบการดัดลอนปลายผมอีกหลากหลายสไตล์ให้ได้เลือกทำ เช่น S-curve, J-curve, O-curve และอาจจะมีรูปแบบการดัดผมอื่นๆตามสไตล์การดัดผมของแต่ละร้านทำผม

ข้อดีของเทคนิคการยืดวอลลุ่ม

  • ยืดแล้วโคนผมตรงและมีวอลลุ่มดูไม่ลีบแบน โคนผมไม่หัก
  • ได้ทรงผมที่มีวอลลุ่มและลอนถาวร อยู่ทรงนาน 4-6 เดือนขึ้นไป
  • สามารถเลือกลักษณะลอนปลายผมได้หลากหลายสไตล์ เช่น รูปตัวC รูปตัวS
  • ไม่ต้องเสียเวลาในการหนีบผมก่อนออกจากบ้าน เพียงแค่ไดร์ผมเองที่บ้านก็ได้ทรงที่สวยงามเหมือนตอนเริ่มทำที่ร้าน
  • โคนผมดูหนา ดูมีมิติมากขึ้นแต่เป็นทรง มีความพริ้วไหวเป็นธรรมชาติ
  • เหมาะสำหรับผู้หญิงผมประบ่า ผมยาว หรือผมบ๊อบสั้นก็สามารถใช้เทคนิคนี้ได้เช่นกัน